กฎหมาย คือข้อบังคับ กติกาของรัฐหรือของชาติ กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้บังคับ ควบคุม ความประพฤติของบุคคลในสังคม ให้ปฏิบัติตาม หากมีการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดและได้รับโทษตามที่กำหนดไว้
กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องบุคคล ทรัพย์สิน นิติกรรม สัญญา ละเมิด ครอบครัว และมรดก ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย
กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิดและโทษ โดยกำหนดผู้กระทำผิดจะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด
กฎหมายอาญา จึงมีความสำคัญช่วยให้ประชาชนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย
กฎหมายลักณะครอบครัว และมรดก ถามคดีคลิ๊กที่นี่
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว
ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕0 ได้บัญญัติเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้
เพื่อให้รัฐต้องส่งเสริมและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว รับรองสิทธิของบุคคลในครอบครัว
และกำหนดให้เด็ก เยาวชน
และบุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยรัฐจากการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม
เด็กและเยาวชนที่ไม่มีผู้ดูแลมีสิทธิได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอบรมจากรัฐ
๑)
กฎหมายครอบครัว บัญญัติข้อกำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางครอบครัว
ตั้งแต่การหมั้นไปจนถึงการสมรส
ความสัมพันธ์ในครอบครัวและการขาดจากความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้แก่
๑.๑) การหมั้น เป็นการทำสัญญาระหว่างชายกับหญิงว่าต่อไปจะสมรสกัน
ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ ๑๗ ปีบริบูรณ์แต่ถ้าชายหรือหญิงยังเป็นผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเสียก่อน
ในการหมั้นฝ่ายชายจะให้ของหมั้นแก่ฝ่ายหญิง
เพื่อเป็นหลักฐานและประกันว่าจะสมรสกับหญิงด้วยของหมั้นนี้
เมื่อสมรสแล้วจะตกเป็นของฝ่ายหญิง แต่ถ้าไม่มีการสมรสอันเนื่องมาจากความผิดของฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชาย
การผิดสัญญาหมั้น
ฝ่ายที่เสียหายสามารถเรียกค่าทดแทนได้ แต่จะให้ศาลบังคับให้มีการสมรสไม่ได้
เพราะว่าการสมรสนั้นขึ้นกับความสมัครใจของผู้จะสมรสเท่านั้น
๑.๒) การสมรส เป็นการทำสัญญาตกลงเป็นสามีภริยากันระหว่างชายกับหญิงกฎหมายกำหนดเงื่อนไขของการสมรสไว้
ดังนี้
๑. การสมรสจะทำได้ ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ ๑๗
ปีบริบูรณืแล้ว หากมีอายุต่ำกว่านี้ต้องให้ศาลอนุญาต ซึ่งจะต้องมีเหตุผลอันสมควร
๒. ชายหรือหญิงที่เป็นบุคคลวิตกจริตหรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถจะทำการสมรสไม่ได้
๓. ชายหรือหญิงที่เป็นญาติสืบสายโลหิตกัน เช่น
พ่อหรือแม่กับลูก พี่น้องร่วมบิดามารดากัน
หรือเป็นพี่น้องร่วมแต่เพียงบิดาหรือมารดากันจะสมรสกันไม่ได้
๔. ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้
๕. ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วไม่ได้
๖. หญิงที่เคยสมรสแล้วแต่สามีตาย
หรือการสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดลงโดยเหตุอื่น เช่น การหย่า
จะสมรสใหม่ได้ก็ต่อเมื่อการสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดไปแล้ว ไม่น้อยกว่า ๓๑0 วันเว้นแต่จะสมรสกับคู่สมรสเดิม คลอดบุตรระหว่างนั้น
มีใบรับรองแพทย์ว่ามิได้ตั้งครรภ์หรือมีคำสั่งของศาลให้สมรสได้
๗. ถ้าชายหรือหญิงฝ่ายใดมีอยุยังไม่ครบ ๒0 ปีบริบูรณ์
ฝ่ายนั้นต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเสียก่อน
๘.การสมรสจะต้องจดทะเบียน
โดยมีนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอและเป็นนายทะเบียน
๙. ชายหญิงจะต้องแสดงความยินยอมเป็นสามีภริยากัน
โดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและนายทะเบียนต้องบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย
การสมรสที่ถูกต้องตามเงื่อนไขของกฎหมายก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา
๒ ประการ ดังนี้
(๑)
ความสัมพันธ์ทางครอบครัว กฎหมายกำหนดให้สามีภริยาต้องอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา
ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู กันตามความสามารถและฐานะของตน
และในกรณีที่ศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
สามีหรือภริยาย่อมได้เป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์
และต้องเป็นการอุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
(๒)
ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สิน
กฎหมายแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเป็นสินส่วนตัวและสินสมรส
๑. สินส่วนตัว
ได้แก่ ทรัพย์สินที่สามีหรือภริยามีอยู่ก่อนสมรส เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว
หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยการยกให้หรือรับมรดก
สำหรับภริยาของหมั้นจะถือเป็นสินส่วนตัวของภริยาทั้งนี้สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใด
ฝ่ายนั้นย่อมเป็นผู้มีอำนาจจัดการ
๒. สินสมรส ได้แก่
ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาโดยการยกให้หรือโดยพินัยกรรม
ซึ่งระบุให้เป็นสินสมรสรวมทั้งดอกผลที่เกิดจากสินส่วนตัวด้วย
สามีภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกันโดยการจัดการจะต้องได้รับความยินยอมร่วมกัน
เว้นแต่จะตกลงไว้เป็นอย่างอื่นโดยสัญญาก่อนสมรสหรือศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นผู้จัดการแต่ฝ่ายเดียว
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงจะต้องมีการแบ่งสินสมรสระหว่างชายกับหญิงโดยนำสินสมรสมาแบ่งเท่าๆ
กัน แต่ถ้าฝ่ายใดจำหน่ายสินสมรสไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
ต้องนำสินส่วนตัวของตนเองมาชดใช้สินสมรสที่ตนจำหน่ายไป
ในทางกฎหมายการสมรสจะสิ้นสุดลงด้วยปัจจัยที่สำคัญ ดังนี้
๑.
ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมษะ หรือโมฆียะ
หรือให้เพิกถอนการสมรสเพราะทำการสมรสโดยผิดเงื่อนไข
๒.คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย
๓. การหย่า
ได้แก่ การอย่าโดยความยินยอมของทั้ง ๒ ฝ่าย
ซึ่งต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อรับรองอย่างน้อย ๒ คน
โดยต้องมีการจดทะเบียนการอย่าและการอย่าโดยคำพิพากษาของศาล ได้แก่
คู่สมรสไม่อาจตกลงอย่ากันโดยความยินยอมได้
ฝ่ายที่ต้องการอย่าจึงฟ้องต่อศาลให้ศาลพิพากษาให้อย่าโดยต้องอ้างเหตุอย่า
ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้หลายประการด้วยกัน เช่น สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่
เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ โดยปกติสุขตลอดมาเกิน ๓
ปีหรือแยกกันอยู่ตามคำ
สั่งศาลเป็นเวลาเกิน
๓ ปีเป็นต้น
เหตุฟ้องหย่า
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี
เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว
ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก)
ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(ข)
ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป
หรือ
(ค)
ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ
หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้
ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและได้ถูกจำคุก
เกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด
หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามี
ภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกัน
ฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของ
ศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
หรือไปจากภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปี
โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่าง ไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(6)
สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตาม
สมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้
ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอา สภาพ
ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่าย
หนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมี
ลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกัน
ฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่าย
หนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรัง ไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภริยานั้น
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
๑.๓)
ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบบุตร สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
๑. การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและการรับรองบุตร
เด็กที่เกิดจากบิดามารดาซึ่งจดทะเบียนสมรสกันแม้จะมีการเพิกถอนภายหลังก็ตาม
หรือเกิดภายใน ๓๑0 วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง
กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เคยเป็นสามี เว้นแต่จะมีการฟ้องคดีไม่รับเด็กนั้นเป็นบุตรภายในหนึ่งปีนับแต่วันรู้ถึงการเกิดของเด็กหรือฟ้องเสียภายในสิบปีนับแต่วันเกิดของเด็ก
เด็กซึ่งเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน
ย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาฝ่ายเดียวเท่านั้น จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาด้วยต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันภายหลัง
โดยมีผลนับตั้งแต่วันสมรสหรือเมื่อบิดาจดทะเบียนรับเป็นบุตร
โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็กและจะมีผลตั้งแต่วันจดทะเบียน
ในกรณีที่เด็กหรือมารดาไม่ให้ความยินยอมหรือคัดค้านว่าผู้ที่ขอจดทะเบียนรับรองบุตรไม่ใช่บิดา
หรือในกรณีที่ต้องมีการฟ้องชายเพื่อขอให้รับเด็กเป็นบุตร
หากศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายย่อมมีผลนับแต่วันที่ศาลพิพากษาถึงที่สุด
ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เป็นบุตรนั้นมีสิทธิ เช่น ใช้ชื่อสกุลของบิดา รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมได้
เป็นต้น ส่วนผู้รับรองบุตรก็สามารถใช้อำนาจปกครอง
รวมทั้งต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนั้นต่อไป
๒. การรับบุตรบุญธรรม หมายถึง
การจดทะเบียนรับบุตรของผู้อื่นมาเลี้ยงดูเป็นบุตรของตนเอง
โดยดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งกำหนดเงื่อนไขพื้นฐานรวมทั้งความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมไว้
ประกอบกับพระราชบัญญัติการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม
เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กที่จะเป็นบุตรบุญธรรมยิ่งขึ้น เช่น ในกรณีที่ขอรับบุตรบุญธรรมของผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติกับเด็กจะมีการทดลองเลี้ยงดู
มีการตรวจสอบคุณสมบัติและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่และความเหมาะสมของผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม
เป็นต้น
เงื่อนไขพื้นฐานของการรับบุตรบุญธรรม
ประกอยด้วย อายุและความยินยอม คือ
บุคคลที่จะรับผู้อื่นเป็นบุตรบุญธรรมได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปีบริบูรณ์
และต้องแก่กว่าผู้ที่ตนจะรับเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย ๑๕ ปี
และถ้าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์
การรับบุตรบุญธรรมต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาโดยกำเนิดของผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรม
และต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อนด้วย
การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมมีผลให้บุตรบุญธรรมมีฐานะเสมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม
เช่น มีสิทธิใช้ชื่อสกุล มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม
ผู้รับบุตรบุญธรรมมีอำนาจปกครองและมีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดู
แต่ไม่มีสิทธิรับมรดกในส่วนของบุตรบุญธรรม และจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้
ส่วนบิดามารดาโดยกำเนิดเป็นอันหมดอำนาจปกครอง
อย่างไรก็ตาม
บุตรบุญธรรมไม่สูญเสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่กำเนิดมา เช่น มีสิทธิรับมรดกของบิดามารดาโดยกำเนิด
การรับบุตรบุญธรรมมีทางเลิกได้โดยการจดทะเบียนเลิก
ตามความยินยอมของบุตรบุญธรรมที่บรรลุนิติภาวะแล้วกับผู้รับบุตรบุญธรรม
หรือเมื่อมีการสมรสระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรม
๑.๔)
สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดา
บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู
และให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรระหว่างที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์
หรือแม้บุตรจะบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เป็นผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้
บิดามารดาก็ยังมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูต่อไประหว่างที่บุตรเป็นผู้เยาว์
บิดามารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
โดยมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร ทำโทษบุตรตามสมควร
หรือว่ากล่าวสั่งสอนให้บุตรทำการงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปมีสิทธิเรียกบุตรคืนจากผู้อื่นซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เป็นผู้แทนโดนชอบธรรมของบุตรในการฟ้องคดี และมีสิทธิจัดการทรัพย์สินของบุตรด้วย
ถ้าบุตรมีเงินได้
บิดามารดามีสิทธินำมาใช้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาของบุตรส่วนที่เหลือต้องเก็บรักษาไว้เพื่อมอบแก่บุตรภายหลัง
เว้นแต่บิดามารดาจะยากจนไม่มีเงินได้พอแก่การครองชีพ จึงอาจนำเงินนั้นมาใช้ได้
กรณีที่บิดามารดาตายหรือถูกศาลสั่งถอนอำนาจปกครอง
เพราะวิตกจริตหรือประพฤติไม่เหมาะสม
ศาลมีอำนาจตั้งผู้ปกครองให้บุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์
เพื่ออุปการะเลี้ยงดูและให้ความคุ้มครองแก่ผู้เยาว์นั้นแทนบิดามารดาได้
๑.๕)
สิทธิและหน้าที่ของบุตร บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา
เว้นแต่ไม่ปรากฎบิดาให้ใช้ชื่อสกุลของมารดา
บุตรมีสิทธิได้รับอุปการะเลี้ยงดูและได้รับการศึกษาตามสมควรจากบิดามารดา
แต่บุตรมีหน้าที่ต้องดูแล บิดามารดาของตนเป็นการตอบแทนบุญคุณ
โดยบุตรจะฟ้องบิดามารดา
รวมทั้งบุพการีอื่นของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ได้
ต้องขอให้พนักงานอัยการยกคดีขึ้นว่ากล่าวให้
๒) กฎหมายเรื่องมรดก
มีเนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะของมรดกและผู้ที่จะมีสิทธิรับมรดก หรือทายาท
โดยมรดกหรือกองมรดก ได้แก่ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่
และความรับผิดชอบต่างๆของผู้ตายหรือเจ้าของมรดกซึ่งเมื่อผู้ใดถึงแก่ความตาย
มรดกของเขาย่อมตกทอดแก่ทายาททันที
เว้นแต่สิ่งที่กฎหมายหรือตามสภาพแล้วถือเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้
ย่อมไม่ตกทอดเป็นมรดก เช่น สิทธิรับราชการ เป็นต้น
กรณีที่บุคคลใดหายไปจากที่อยู่โดยไม่ได้ข่าวคราวเป็นเวลานาน
ศาลอาจสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ ซึ่งกฎหมายถือเสมือนว่า ถึงแก่ความตาย
และมรดกของผู้สาบสูญย่อมตกทอดแก่ทายาทเหมือนกรณีตายจริงๆ
ทายาท คือ
ผู้ทีสิทธิได้รับมรดกในทางกฎหมาย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑.
ทายาทโดยธรรม เป็นทายาทที่ทีสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ ญาติ
คู่สมรสและทายาทที่เป็นญาติ แบ่งออกเป็น ๖ ลำดับ คือ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา
พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ย่า ตายาย
และลุง ป้า น้า อา
ซึ่งสิทธิได้รับมรดกและส่วนแบ่งที่จะได้รับจะลดลงตามลำดับความห่างของญาตินั้นๆ
เช่น ถ้าคู่สมรส บุตร และบิดามารดาของผู้ตายยังอยู่
ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายโดยเท่าเทียมกัน โดยคู่สมรสมีสิทธิได้รับหนึ่งส่วน
บุตรแต่ละคนมีสิทธิได้รับคนละส่วน
และบิดามารดาของผู้ตายมีสิทธิได้รับคนละหนึ่งส่วน กล่าวคือ
บิดาหนึ่งส่วนและมารดาหนึ่งส่วน ในกรณีเช่นนี้ญาติอื่นไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายอีก
เพราะได้ถูกตัดโดยญาติสนิทกว่าของเจ้าของมรดกแล้ว
คดีแบ่งทรัพย์มรดก
ลำดับชั้นของทายาทโดยธรรม
ทางสายเลือด
1
ผู้สืบสันดาน ลูก หลาน เหลน โหลน
รวมทั้งบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรอง และบุตรบุญธรรม
2
บิดามารดา
3
พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4
พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
5
ปู่ ย่า ตา ยาย
6
ลุง ป้า น้า อา
หลักการแบ่งมรดก
1
หากเป็นสินสมรสต้องแบ่งให้คู่สมรสครึ่งหนึ่งก่อน
ส่วนที่เหลือจึงเป็นทรัพย์มรดกที่จะนำมาแบ่งให้แก่ทายาท
2
ทายาทลำดับชั้นก่อน ตัดทายาทลำดับชั้นหลัง โดย ลำดับชั้นที่ 1
และ 2 ไม่ตัดกัน
3
หากไม่มีทายาทชั้นที่ 6 ทรัพย์นั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน
4
ทายาทที่มีลำดับชั้นเดียวกันมีสิทธิรับมรดกคนละเท่าๆ กัน
5
ถ้าทายาทลำดับชั้นที่ 1 3 4 หรือ 6 ตายก่อนเจ้ามรดก ทายาทผู้ที่ตายมีสิทธิรับมรดกแทนที่
วิธีการแบ่ง อย่างง่าย ๆ
1
ถ้ามีทายาทลำดับชั้นที่ 1 ด้วย
คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกเหมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร
2 ถ้าไม่มีทายาทลำดับชั้นที่
1 มีเพียงทายาทลำดับชั้นที่ 2 คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งหนึ่งเป็นของบิดามารดา
3
ถ้าไม่มีทายาทลำดับชั้นที่ 1 และที่ 2 คู่สมรสมีสิทธิรับมรดกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นของทายาทลำดับชั้นที่ 3
4
ถ้าไม่มีทายาทลำดับชั้นที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คู่สมรสมีสิทธิรับมรดก 2 ใน 3 อีก 1 ใน 3 เป็นของทายาทลำดับชั้นที่ 4
5
ถ้าไม่มีทายาทลำดับชั้นที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 คู่สมรสมีสิทธิรับมรดก
2 ใน 3 อีก 1 ใน 3
เป็นของทายาทลำดับชั้นที่ 5
6
ถ้าไม่มีทายาทลำดับชั้นที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 คู่สมรสมีสิทธิรับมรดก 2 ใน 3 อีก
1 ใน 3 เป็นของทายาทลำดับชั้นที่ 6
7
ถ้าไม่มีทายาทโดยธรรมเลย คู่สมรสได้ทั้งหมด
การแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทอาจทำได้
โดยวิธีดังนี้
1
ทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือ
2 โดยขายทรัพย์มรดก
แล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันระหว่างทายาท หรือ
3
โดยทำสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด
(โดยนำหลักการในเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับ)
ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาท
(ไม่ใช่ไปแบ่งให้บุคคลอื่นหรือญาติของตัวเอง)
ดังนั้นการที่ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดก
จึงต้องถือว่าครอบครองแทนทายาทอื่นด้วย จะอ้างเรื่องอายุความมายันทายาทไม่ได้
๒. ทายาทตาทพินัยกรรม ได้แก่
ผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามที่พินัยกรรม
ซึ่งเป็นหนังสือแสดงความประสงค์สั่งการเผื่อตายของผู้ตายระบุไว้
โดยทายาทพวกนี้อาจเป็นญาติของผู้ตายหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ผู้ตายจะตั้งใจยกมรดกของตนให้แก่ผู้ใดบ้าง
ในกรณีที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกมรดกของตนให้ทายาทตามพินัยกรรมทั้งหมด
ทายาทโดยธรรมย่อมไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย
แต่บุคคลจะทำพินัยกรรมยกมรดกได้เฉพาะทรัพย์สินของตนเท่านั้น
ในกรณีที่ตนมีคู่สมรสก็จะต้องแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก่อน
ส่วนของตนจึงเป็นมรดกตกทอดต่อไปได้ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ตายไม่ได้ ทำพินัยกรรมไว้ และไม่มีทายาท
มรดกผู้ตายก็จะตกได้แก่แผ่นดิน คือ ตกเป็นของรัฐบาลไป
กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕0 ได้บัญญัติเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้